ภาวะออฟฟิศซินโดมเป็นคำรวมของกลุ่มโรคที่เกิดจาก ลักษณะการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่นกลุ่มคนวัยทำงานพนักงานออฟฟิศ เนื่องจากพฤติกรรมการนั่งทำงานท่าเดิมเป็นเวลานานๆใช้งานกล้ามเนื้อบริเวณมัดเดิมซ้ำๆ รวมทั้งจัดระเบียบพื้นที่โต๊ะทำงานไม่เหมาะสม มัดกล้ามเนื้อเกร็งตัวเป็นระยะเวลานานๆทำให้ร่างกายมีการฝืนเป็นเวลานาน อีกทั้งนั่งหน้าจอคอมตลอดทั้งวัน นั่งโต๊ะทำงานติดกันหลายชั่วโมง รวมทั้งสภาวะสิ่งแวดล้อมในการทำงานไม่เหมาะสม และปัจจัยอื่นๆเช่นความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือบางรายอาจมีภาวะกล้ามเนื้อไม่สัมพันธ์กัน หรือภาวะความผิดปกติของกระดูกสันหลัง ส่งผลให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อผังผืดได้
ซึ่งสามารถเกิดผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายได้หลายระบบ เช่น
อาการปวดตึงกล้ามเนื้อ
เอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ
อาการชาที่มือ
นิ้วล็อค
เส้นประสาทที่ข้อมือถูกกดทับ อาการปวดบวมตามข้อต่างๆ
วิธีห่างไกลออฟฟิศซินโดรม
• ปรับโต๊ะทำงานและสภาพแวดล้อม จัดบริเวณทำงานให้เหมาะสม แสงสว่างเพียงพอ ควรเลี่ยงการนั่งทำงานบนพื้น เลือกโต๊ะทำงานให้ความสูงเหมาะสม โดยจอคอมพิวเตอร์อยู่ระดับสายตาหรือต่ำกว่าเล็กน้อย ปรับระดับความสูงเก้าอี้ให้พอเหมาะ หากมีที่วางแขนก็จะช่วยได้มากขึ้น แขน และข้อมือควรจะขนานกับโต๊ะทำงาน ไม่วางเมาส์และคีย์บอร์ดไกลเกินไป ทำให้ต้องเอื้อมแขน หรือก้มหลัง ควรงอข้อศอกประมาณ 90 องศา หลังตรงพิงพนักเก้าอี้ ต้นขาขนานกับพื้น ไม่งอเข่าเกิน 90 องศา หากขาไม่ถึงพื้น สามารถใช้ที่วางเท้าช่วยได้
• ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ไม่ควรทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรจะปรับเปลี่ยนท่าทางทุก ๆ 1 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย เหยียดยืดกล้ามเนื้อ ละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ มองวิวภายนอกห้อง ผ่อนคลายความเครียด
• บริหารร่างกายเป็นประจำ ทั้งการยืดเหยียดกล้ามเนื้อให้เกิดความยืดหยุ่นและการออกกำลังเพื่อเสริมความแข็งแรงให้ร่างกายและกล้ามเนื้อมีความพร้อมในการทำงาน
• หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง ปัจจุบันมีการใช้งานมือถือและแท็บเล็ตเป็นเวลานานขึ้น โดยเฉพาะก่อนนอนขณะอยู่บนเตียง ซึ่งนอกจากสายตาต้องทำงานหนักในความมืดแล้ว กล้ามเนื้อรอบ ๆ คอ บ่า ไหล่ ก็ต้องทำงานหนักขึ้นเช่นกัน
• พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 7 – 9 ชั่วโมง และทานอาหารให้ครบถ้วนตามสารอาหาร
วิธีรักษา
ในด้านการรักษาอาการดังกล่าวนั้น ปัจจุบันการแพทย์ได้พัฒนา และมีทางเลือกเพื่อรักษามากมายทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน และแพทย์ทางเลือก ด้านการนวดไทย ก็เป็นหนึ่ง
ในทางเลือกที่จะรักษาอาการดังกล่าว โดย "การนวดไทย" เป็นศาสตร์มหัศจรรย์ โดยมูลเหตุสำคัญมาจากสภาพแวดล้อม และวิถีชีวิตวัฒนธรรมของคนไทย รวมถึงพฤติกรรม
ต่างๆ ในชีวิตประจำวันของผู้คนในสมัยโบราณ "การนวดไทย" ไม่ใช่เพื่อรักษาความเจ็บปวดเท่านั้น แต่มีคุณค่าต่อสุขภาพเป็นกระบวนการดูแลสุขภาพ และรักษาโรค โดยอาศัย
การสัมผัสอย่างมีศิลปะ มีหลักการระหว่าง ผู้ให้บริการ และรับบริการ การนวดจะส่งผลโดยตรงต่อร่างกายและจิตใจ โดย การนวดไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. การนวดเพื่อสุขภาพ เป็นการนวดเพื่อหย่อนคลายกล้ามเนื้อให้เลือดลมเดินได้สะดวกทำให้หายปวดเมื่อย และตัวเบาสบายใช้วิธีการนวดซึ่งผสมผสานตามที่ได้รับ
การถ่ายทอดมา และคิดขึ้นเอง
2. การนวดเพื่อรักษาโรค เป็นการนวดที่ใช้ในอายุรเวทวิทยาลัย หมอนวดจะต้องวินิจฉัยโรคให้ได้ก่อนว่าคนไข้เป็นโรคใด จะต้องรักษาโดยทางยาหรือทางนวดหรือใช้
ทั้งยาและนวดร่วมกันหากพิจารณาเห็นว่าคนไข้จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ก็จะแนะนำคนไข้ไปโรงพยาบาลหมอนวดประเภทนี้จำเป็นต้องมีความ
รู้ทั้งด้านเวชกรรมตรวจ และวินิจฉัยโรคกระดูก หมอนวดในประเภทนี้ตามวิธีการทางการแพทย์แผนไทย และหากมีความรู้เพิ่มเติมทางกายวิภาคศาสตร์ (กล้ามเนื้อ โครงกระดูก
ข้อต่อ เส้นเอ็น เส้นเลือด ปอด ตับ ระบบประสาท ฯลฯ)